วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ประเภทของมนุษย์

บทนำ



โลกของเรามีประชากรมากกว่า 7,000 ล้านคน แต่ละคนก็ต่างชาติต่างเผ่าพันธุ์กัน ต่างความคิดและจิตใจ ซึ่งมนุษย์แต่ละคนมีความคิดที่เป็นอิสระต่อกัน โดยความคิดของแต่ละคนถูกสั่งการจากสมอง การเลี้ยงดูจากสังคมครอบครัวเป็นตัวสะท้อนพฤติกรรมได้เป็นอย่างดี และมนุษย์จะแสดงพฤติกรรมออกมาตามการเลี้ยงดู ความวุ่ยวายในสังคมเกิดจากพฤติกรรมของมนุษย์แต่ละคน ที่ต่างฝ่ายต่างใช้ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ นำมาซึ่งความแตกแยก ก่อให้เกิผลกระทบต่างๆ มากมาย อาทิ การเห็นแก่ตัว การแย่งชิง การดูถูกดูแคลน เป็นต้น (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2556)


ความหมายมนุษย์



มนุษย์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Homo sapiens, ภาษาละตินแปลว่า "คนฉลาด" หรือ "ผู้รู้") เป็นสปีชีส์เดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ในสกุล Homo ในทางกายวิภาค มนุษย์สมัยใหม่ถือกำเนิดขึ้นในทวีปแอฟริการาว 200,000 ปีที่แล้ว และบรรลุความนำสมัยทางพฤติกรรม (behavioral modernity) อย่างสมบูรณ์เมื่อราว 50,000 ปีที่แล้ว

เชื้อสายมนุษย์แยกออกจากบรรพบุรุษร่วมสุดท้ายกับชิมแพนซี สิ่งมีชีวิตที่ใกล้ชิดที่สุด เมื่อราว 5 ล้านปีที่แล้วในแอฟริกา ก่อนจะวิวัฒนาการไปเป็นออสตราโลพิเธซีน (Australopithecines) และสุดท้ายเป็นสกุล Homo สปีชีส์ โฮโม แรก ๆ ที่อพยพออกจากแอฟริกา คือ Homo erectusHomo ergaster ร่วมกับ Homo heidelbergensis ซึ่งถูกมองว่าเป็นบรรพบุรุษสายตรงของมนุษย์สมัยใหม่ Homo sapiens ยังเดินหน้าตั้งถิ่นฐานในทวีปต่าง ๆ โดยมาถึงยูเรเซียระหว่าง 125,000-60,000 ปีที่แล้ว ทวีปออสเตรเลียราว 40,000 ปีที่แล้ว ทวีปอเมริการาว 15,000 ปีที่แล้ว และเกาะห่างไกล เช่น ฮาวาย เกาะอีสเตอร์ มาดากัสการ์และนิวซีแลนด์ระหว่าง ค.ศ. 300 ถึง 1280 ราว 10,000 ปีที่แล้ว มนษย์เริ่มเกษตรกรรมแบบอยู่กับที่ โดยการปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ป่า ทำให้ประชากรทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงและเทคนิคใหม่ ๆ ซึ่งเป็นการพัฒนาสาธารณสุขในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 ประชากรมนุษย์ยิ่งเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมนุษย์พบอาศัยอยู่ทุกทวีปยกเว้นแอนตาร์กติกา จึงได้ชื่อว่าเป็น "สปีชีส์พบได้ทั่วโลก" (cosmopolitan species) จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ประชากรมนุษย์ที่กองประชากรสหประชาชาติประเมินไว้อยู่ที่ราว 7 พันล้านคน
มนุษย์มีลักษณะพิเศษ คือ มีสมองใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดตัว โดยเฉพาะสมองชั้นนอก สมองส่วนหน้าและสมองกลีบขมับที่พัฒนาเป็นอย่างดี ทำให้มนุษย์สามารถให้เหตุผลเชิงนามธรรม ใช้ภาษา พินิจภายใน (introspection) แก้ปัญหาและสร้างสรรค์วัฒนธรรมผ่านการเรียนรู้ทางสังคม ขีดความสามารถทางจิตใจของมนุษย์นี้ ประกอบกับการปรับตัวมาเคลื่อนไหวสองเท้าซึ่งทำให้มือว่างจัดการจับวัตถุได้ ทำให้มนุษย์สามารถใช้อุปกรณ์เครื่องมือได้ดีกว่าสปีชีส์อื่นใดบนโลกมาก มนุษย์ยังเป็นสปีชีส์เดียวเท่าที่ทราบที่ก่อไฟและทำอาหารเป็น สวมใส่เสื้อผ้า และสร้างสรรค์และใช้เทคโนโลยีและศิลปะอื่น ๆ การศึกษามนุษย์เป็นสาขาหนึ่งของวิทยาศาสตร์ เรียกว่ามานุษยวิทยา
มนุษย์มีเอกลักษณ์ความถนัดในระบบการสื่อสารด้วยสัญลักษณ์ เช่น ภาษา เพื่อการแสดงออก แลกเปลี่ยนความคิด และการจัดระเบียบ มนุษย์สร้างโครงสร้างทางสังคมอันซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มจำนวนมากที่มีทั้งร่วมมือและแข่งขันกัน จากครอบครัวและวงศาคณาญาติ ไปจนถึงรัฐ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างมนุษย์ได้ก่อตั้งค่านิยม บรรทัดฐานทางสังคมและพิธีกรรม ซึ่งรวมกันเป็นรากฐานของสังคมมนุษย์ มนุษย์ขึ้นชื่อในความปรารถนาที่จะเข้าใจและมีอิทธิพลเหนือสิ่งแวดล้อม แสวงหาคำอธิบายและปรับเปลี่ยนปรากฏการณ์ต่าง ๆ ผ่านวิทยาศาสตร์ ปรัชญา เทพปกรณัมและศาสนา (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2556)

ความหมายประชากร


ประชากรโลก เป็นจำนวนมนุษย์ทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก ปัจจุบัน สำนักสำมะโนสหรัฐอเมริกา (USCB) ประมาณว่าประชากรโลกมี 7,087 ล้านคน โดย USCB ประมาณว่าประชากรโลกมีเกิน 7 พันล้านคนเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2012  ตามข้อมูลการประมาณของกองทุนประชากรสหประชาชาติ ประชากรโลกมีเกิน 7 พันล้านคน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2011
ประชากรโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องนับแต่ทุพภิกขภัยใหญ่และแบล็กเดทในปี 1350 เมื่อประชากรโลกมีราว 370 ล้านคน  อัตราการเติบโตสูงสุดที่กว่า 1.8% ต่อปี เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และอีกระยะหนึ่งระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อัตราการเติบโตสูงสุดที่ 2.2% ต่อปีในปี 1963 และปัจจุบันคาดว่ายังค่อนข้างคงที่ที่ระดับอัตราการเติบโตเมื่อปี 2011 ที่ 134 ล้านคนต่อปี  ขณะที่มีจำนวนผู้เสียชีวิต 56 ล้านคนต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านคนต่อปีเมื่อถึงปี 2040
ผลการคาดคะเนปัจจุบันแสดงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของประชากรในอนาคตอันใกล้ (แต่มีอัตราการเติบโตของประชากรลดลงสม่ำเสมอ) คาดว่าประชากรทั่วโลกจะถึงระหว่าง 7,500 ถึง 10,500 ล้านคนในปี 2050  การประมาณระยะยาวกว่านั้นทำนายประชากรโลกเมื่อถึงปี 2150 ไว้หลากหลาย ทั้งเติบโต ซบเซา หรือกระทั่งลดลงในภาพรวม  นักวิเคราะห์บางคนตั้งคำถามว่า ประชากรโลกจะเติบโตได้ต่อไปหรือไม่ โดยอ้างแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม ปริมาณอาหารโลก และทรัพยากรพลังงาน  (วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, 2556)

มนุษย์ 5 จำพวก

1. มนุสสเนรยิโก มนุษย์สัตว์นรก ได้แก่ มนุษย์ผู้ดุร้าย หยาบคาย ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจี้ปล้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยฆ่าเจ้าทรัพย์ตายบ้าง ทุบตีจนบาดเจ็บสาหัสบ้าง ข่มขืนแล้วฆ่าบ้าง เบียดเบียนผู้อื่นสัตว์อื่นทรมานผู้อื่นสัตว์อื่น เป็นคนไร้ศีลธรรม ไม่มีมนุษยธรรมคือศีล 5 ประจำตัวเลย นามว่า มนุสสเนรยิโก แปลว่า มนุษย์สตว์นรกคือเป็นมนุษย์แต่ชื่อ ส่วนความประพฤติทางกาย วาจา ใจนั้นเลวทราม ดุร้ายหยาบคายเหมือนสัตว์นรกฉะนั้น
2. มนุสสเปโต มนุษย์เปรต ได้แก่ มนุษย์ผู้มากไปด้วยความโลภ มากไปด้วยตัณหา ชอบลักเล็กขโมยน้อยโลภเอาของผู้อื่นมาเป็นของตน แย่งชิงวิ่งราวเป็นต้น แม้พวกที่เที่ยวขอทาน ก็สงเคราะห์เข้าในประเภทนี้ด้วย
3. มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์เดรัจฉาน ได้แก่มนุษย์ทีขวางศีลขวางธรรม มีโมหะคือความหลงมาก ไม่รู้จักบาป ไม่รู้จักบุญ ไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักโทษ ไม่รู้จักประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่น บิดามารดา ครูบาอาจารย์ เป็นต้น เป็นมนุษย์ผู้ไรศีลธรรม ดืมสุรา เสพยาบ้า กินกัญชา ทำอะไรทางกาย วาจา ใจ ก็ขวางๆผิดทำนองคลองธรรม นามว่า มนุสสติรัจฉาโน แปลว่ามนุษย์สัตว์เดรัจฉาน เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ไปขวาง
คือเดินทอดตัว ไม่ได้เดินตั้งตัวเหมือนคน คนเดรัจฉานก็ฉันนั้น ทำอะไรก็ขวางธรรม ขวางวินัย คือขาดศีลธรรมเสมอๆ
3. มนุสสภูโต มนุษย์แท้ๆ คือเป็นคนเต็มตัว ได้แก่คนรักษาศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ไม่ขาด ไม่ประมาทต่อศีลเพราะศีลเป็นมนุษยธรรม คือเป็นธรรมประจำมนุษย์ ธรรมที่ทำให้คนเป็นคน มนุสสภูโต แปลว่ามนุษย์แท้ๆ เพราะมีคุณธรรมของคนคือศีล ศีล ท่านแปลว่า เศียร คือ หัว ถ้าคนขาดศีล ก็คือคนหัวขาดนันเอง เพราะขาดจากคุณธรรมของความเป็นคน
5. มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา ได้แก่มนุษย์ผู้มีศีล 5 มั่นเป็นนิตย์ แล้วยังได้พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มพูนบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ให้ทาน ฟังธรรม เรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ไหว้พระสวดมนต์ มีหิริคือความละอายต่อบาป มีโอตตัปปะ คือความสดุ้งกลัวต่อผลแห่งบาปอยู่เสมอ เรียกว่าเป็นผู้มีใจสูงดุจเทวดา เพราะประกอบด้วยเทวธรรม 7 ประการคือ
            -บำรงเลี้ยงมารดาบิดา
            -ประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อบุคคลผู้เจริญ
            -พูดจาไพเราะเสนาะหู อ่อนหวาน นุ่มนวล
            -ไม่พูดส่อเสียดผู้อื่น
            -ละความตระหนี่เหนียวแน่น
            -รักษาคำสัตย์
            -ไม่โกรธ
มนุษย์ที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ท่านขนานนามว่า มนุสสเทโว แปลว่า มนุษย์เทวดา
 (ทางบุญออนไลน์, 2556)

ประเภทมนุษย์

มนุษย์โลกนี้เมื่อรวมกล่าวก็มีอยู่ ๔ ประเภทคือ
๑.  มนุษย์นรก คือ พวกที่อยู่ในคุกตะราง ถูกจองจำทำโทษ หมดอิสรภาพในตน ทนทุกขเวทนาแสนสาหัส ก่อเรื่องร้ายเพราะเหตุคือใจชั่ว ทำตัวให้เป็นภัยแก่ชาวประชา ประพฤติทุจริตมิจฉาชีพ ผิดมนุษย์ธรรมดา เช่น ทำปาณาติบาต ประหัตประหารคนด้วยกัน โจรกรรม เป็นนักปล้น นักขโมย โดยมีจิตใจนิยมยินดีในอาชีพทุจริต เพราะฤทธิ์โมหันธ์พาลโง่แท้ๆ มีตัวอย่างดังนี้
โจรกถา
มีบุรุษหนึ่ง เป็นคนดีมีกตัญญู แต่ขาดสติปัญญา ครั้นบิดาทำกาลกิริยาตาย วันหนึ่งมีโจรมาปล้นบ้าน บังคับให้บุรุษนั้นขนทรัพย์สมบัติไปส่ง แล้วโจรประมุขกล่าวว่า
“เราทั้งปวงนี้ไม่พอใจ ที่จะกระทำการงานอื่น เราผู้หัวคิดอันเลิศฉลาดกว่าคนทั้งหลาย จึงไม่กระทำการต่างๆ เหล่านั้น หันมากระทำโจรกรรมอันดีเลิศประเสริฐนักแล เพราะเป็นอาชีวะที่มีตบะเดชะ มีผู้คนยำเกรงไปทั่ว ตัวก็ไม่ต้องทำงานหนักให้เหนื่อยยาก แต่ได้ทรัพย์สมบัติทีละมากมาย ได้อย่างง่ายดายคล่องๆ ไม่ต้องคอยเก็บเล็กผสมน้อยให้เสียเวลา ใช้จ่ายสนุกมือ ดีกว่าการประกอบการงานอย่างอื่นในโลกนี้ที่จะต้องลำบากอดทน อดกลั้น ตรากตรำ นี่แหละเป็นอาชีวะอันประเสริฐ”
บุรุษนั้นได้ฟังมหาโจรพรรณนาโจรสมบัติ อันได้ง่ายดังนี้ ก็มีจิตยินดีเห็นดีงามไปด้วยจึงร่วมทำโจรกรรมมานานนักหนา คราหนึ่งถูกจับได้ถูกลงอาญา ถูกตัดมือ ตัดเท้า ให้รับทุกข์ทรมานอยู่ในคุกตะราง หมดอิสรภาพตลอดกาลนาน มนุษย์ประเภทนี้เรียกว่า “มนุษย์นรก”


๑. มนุษย์เปรต มีชีวิตเป็นอยู่อย่างยากลำบาก เที่ยวแสวงหาอาหารแลผ้านุ่งผ้าห่มนั้น กว่าจะได้เป็นอันยากแสนยากหนักหนา ด้วยวิบากกรรมแต่ปางก่อนอันตนได้กระทำไว้ รีบจรลีสัญจรไปทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ไม่พบแหล่งเจริญ มีแต่ความลำบาก หากินไม่ขึ้น แม้ว่าจะขยันและมัธยัสถ์ขนาดไหนก็ตาม มีตัวอย่างดังนี้
สกเศรษฐี
ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งมีความโลภจัดมาก เขาให้โอวาทลูกหลานว่า
“ทรัพย์ที่มีอยู่ ไม่ควรจะให้แก่คนทั้งหลาย เพราะทรัพย์จะต้องหมดลงในวันหนึ่ง พยายามสะสมทรัพย์เอาไว้ อย่าใช้จ่ายเด็ดขาด” แต่ก่อนที่จะตายจิตของเขาเต็มไปด้วยความหวงและห่วงในสมบัติ หม่นหมองไปด้วยมลทิน  คือ “ความตระหนี่” จึงไปเกิดในครรภ์ของหญิงจัณฑาล ความโลภในจิตของเขาบันดาลให้คนจัณฑาลในหมู่บ้านอดอยากหนักเข้าไปอีก ในที่สุดคนจัณฑาลทั้งหลายลงมติว่า
“เป็นเพราะหญิงมีครรภ์เป็นกาลกิณี จึงทำให้เดือดร้อน ต้องขับไล่ไปเสีย การทำมาหากินของพวกเราจึงจะได้สะดวกเหมือนเดิม”
หญิงจัณฑาลจึงเที่ยวซัดเซพเนจรแสนลำบาก ได้คลอดบุตรสุดแสนจะน่าเกลียดทั่วทั้งสรีระ หน้าตาหัวหู ดูยังกับผีเปรตไม่เหมือนคน นางจนใจเลี้ยงดูมาด้วยความลำบากจนลูกรู้เดียงสา จึงเอากะลามาใบหนึ่งมอบให้เป็นสมบัติขอทานเลี้ยงชีวิตตามยถากรรม

เขาจึงเที่ยวขอทานเรื่อยมา จนถึงปราสาทอันมโหฬารของตนจำได้คลับคล้ายคลับคลา จึงมุ่งหน้าดุ่มเดินเข้าไป คนทั้งหลายเห็นหน้าก็คว้าไม้เข้าไล่ทุบตี นึกว่าเป็นผีดุร้ายมาเที่ยวในโลกมนุษย์ จนบุรุษร่างร้ายนั้นถึงแก่สลบแน่นิ่งลง
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงสัพพัญญุตญาณเสด็จผ่านมาพอดี จึงทรงชี้แจงให้คนทั้งหลายรู้ว่า เป็นเศรษฐีกลับชาติมาเกิด ตอนแรกมูลศิริเศรษฐีผู้เป็นลูกไม่เชื่อพระพุทธฎีกา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสให้บุรุษขอทานนั้นเล่าประวัติของตน พร้อมทั้งให้นำไปขุดขุมทรัพย์อีก ๕ แห่ง ซึ่งตนแอบฝังเอาไว้คนเดียวในชาติก่อน โดยไม่มีผู้ใดรู้แม้แต่ลูกของตนเอง พอพิสูจน์ได้ดังนี้มูลศิริเศรษฐีนั้น จึงได้มีศรัทธาเลื่อมใสในพุทธวาจา ซึ่งผลของโลภเจตนา ทำให้ชีวิตเป็นอยู่โดยยาก เป็นที่น่าสังเวช !
๑.   มนุษย์เดียรฉาน มีชีวิตอาศัยท่านผู้อื่นอยู่เหมือนกับ แมว ม้า เป็ด ไก่ หมู หมา วัว ควาย สุดแท้ท่านจะใช้ให้ทำ ก็อุตสาหะกระทำการงานแบกขนซึ่งภาระอันหนักแห่งท่าน ครั้นทำงานเสร็จแล้ว ท่านให้อะไรเป็นทาน ถึงจะชอบใจไม่ชอบใจ ก็จำต้องบริโภคแต่พออิ่มปากอิ่มท้องไปวันๆ
อีกคราวหนึ่งท่านโกรธา ก็มีแต่จะถูกด่าว่า ดุคำรามขู่ตวาด ให้สะดุ้งสันหลังหวาดเสียวอยู่เนืองนิตย์หาความสบายใจไม่ได้ทุกเมื่อ แต่ก็ไม่เบื่อต่อชีวิตเช่นนี้ เพราะตนเป็นคนมีกรรม มีสันดาลมากด้วยโมหะ ทนเป็นทาสเขาด้วยดวงจิตมัวเมาหลงผิด พอใจที่จะให้กิเลสตัณหาเป็นผู้นำชีวิต พาให้คิดเห็นเป็นประเสริฐว่า “ตัวข้านี้แลเป็นคนฉลาด ! ด้วยการเลือกอาชีพเป็นทาสท่าน การงานอะไรไม่ต้องคิดต้องทำให้เปลืองหัวขมอง ท่านสั่งอย่างไรเราทำไปก็หมดเรื่อง ท่านเคืองอะไรมา เราก็นิ่งเฉยเสียเป็นสิ่งดี”

ชีวิตนี้ไม่มีอะไรมากพอได้อาหารใส่ปากเข้าไปวันๆหนึ่งก็พอ ช่างน่าอนาถหนอ “เจ้านายตูดูคร่ำเคร่งคิดประกอบการงาน คงจะหาความสำราญเช่นตูบ่มิได้” คิดไล่ไขว่คว้า เป็นบ้าผิดคนธรรมดาไป อย่างนี้ก็มี หรือ มิฉะนั้นมิได้เป็นทาสท่าน แต่ผู้นั้นมากไปด้วยโมจิต ไม่คิดถึงบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ เช่นว่า บุญกุศลเป็นความดีที่ควรทำ บาปกรรมเป็นของควรเว้นเด็ดขาด ปราชญ์ท่านสอนอยู่อย่างนี้ฉอดๆ ตนก็สอดขึ้นมาว่าเป็นคำสอนไม่เข้าท่า แล้วแสดงกิริยาหลีกเลี่ยงต่างๆ บางทีใจแห้งแล้งเพราะถูกโมหัคคี ไฟคือโมหะเผาลนอยู่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์มีคุณล้นหัวใจ แต่จิตมืดมัวหมองไม่เห็นคุณ เป็นมนุษย์ไร้ศีลธรรม ทำอะไรก็ทำขวางๆ ผิดทำนองคลองธรรม นำชีวิตตนไปโดยหาสาระแก่นสารมิได้ จนกระทั่งถึงวันตายก็มิได้ประกอบการกุศลสักนิด เพราะตนมัวเมาแต่คิดขวาง คิดคัดค้านเรื่อยไป ไม่เชื่อถือคำสอนของนักปราชญ์ผู้ทรงธรรม มีองค์พระศาสดาผู้เป็นที่พึ่งอันประเสริฐสุดเป็นอาทิ ผู้มีแต่โมหะจิตดำริขวางๆ อย่างนี้มีนามว่า “มนุษย์เดรัจฉาน”
๑.   มนุษย์ภูต เป็นผู้ที่รู้จักชัดว่า สิ่งใดเป็นประโยชน์ และสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ เป็นผู้รู้จักบาปบุญคุณโทษ คือ เป็นมนุษย์แท้ๆ ได้ ต้องมีศีล ๕ ครบบริบูรณ์ไม่บกพร่อง นอกจากนั้นยังเป็นผู้มีธรรมประจำใจ พยายามบำเพ็ญกุศลเพิ่มบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น อุตสาหพยายามให้ทาน เรียนธรรม หมั่นประพฤติ ปฏิบัติตามธรรม มีหิริความละอายต่อบาป มีโอตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปอยู่เสมอ ใช้ชีวิตของตนให้มีสาระประโยชน์ ไม่ใช่สักแต่ว่าอยู่ไปวันๆหนึ่ง โดยไม่คำนึงถึงโลกหน้า เชื่อกรรมแลผลของกรรมว่าจักต้องให้ผลอย่างยุติธรรมแน่นอน โดยไม่ต้องสงสัย มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

พระมหาเถรกถา
ยังมีบุตรอำมาตย์ผู้หนึ่ง เป็นบุรุษรูปงาม คนทั้งหลายรักใคร่มาก ต่อมาได้ข่าวว่ามีพระมหาเถระนามว่า “พระอภยมหาเถระ” จะมานมัสการซึ่งพระมหาเจดีย์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เป็นที่เลื่องลือกันว่าพระมหาเถระรูปนี้มีรูปร่างสง่างามยิ่งนัก บุตรอำมาตย์พร้อมญาติมิตร จึงมาที่ลานพระเจดีย์ เพื่อจักใคร่ดูว่า พระมหาเถระเจ้าจักมีรูปร่างงดงาม พอที่จะเทียบเคียงกับตนได้หรือไม่หนอ?
ครั้นได้พบกับพระมหาเถระจึงกล่าวว่า
“ดูกรประสก ! ตัวท่านนี้เป็นแค่เพียงคนขนขยะมูลฝอย แต่พระมหาเถระเป็นผู้กวาดขยะ เหตุไฉนจึงบังอาจคิดว่าจะมีรูปร่างอันสง่างาม เทียบเทียมกับเรา?”
“เจ้ากูกล่าวขานสิ่งใด? ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ขอพระผู้เป็นเจ้าเฉลยให้แจ่มแจ้งหายสงสัย ได้โปรดเถิด”
พระผู้เป็นเจ้าจึงเล่าเรื่องแต่ปางหลังให้ฟังว่า
ในอดีตชาติหนหลัง พระอภยมหาเถระองค์นี้เกิดเป็นพระภิกษุแก่ แต่บวชมาก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามกำลังความสามารถ ฝ่ายบุตรอำมาตย์ได้เกิดเป็นอุบาสกแก่อยู่ในประเทศเดียวกัน ณ บ้านการชคาม ทุกค่ำเช้า สองผู้เฒ่า คือ พระภิกษุแก่และอุบาสกแก่ผู้มีน้ำใจรักความสะอาด พากันไปแผ้วกวาดลานพระเจดีย์ด้วยความเลื่อมใส อุบาสกแก่นั้นถึงความชราภาพมาก กำลังเรี่ยวแรงน้อย จึงได้แต่นั่งคอยท่ารับอาสาเป็นคนขน เฝ้าอุตสาหะขนขยะ ซึ่งพระเถระแก่ผู้มีกำลังดีกว่าตน เป็นผู้กวาดไปทิ้งจนเหนื่อยหอบ ทั้งสองพยายามปลุกปลอบใจกันแลกันให้ทำกองการกุศล พอสิ้นชีพผลกรรมดีก็ตามสนองให้ผู้เฒ่าทั้งสองมาเกิดเป็นมนุษย์ มีรูปบริสุทธิ์โสภา ข้าพระหลวงตาแก่ก็มาเกิดเป็นพระอภยมหาเถระผู้รูปงาม มีความเพียรปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุคุณวิเศษ รู้ระลึกชาติได้และรู้ใจผู้อื่น อันเป็นปรจิตตวิชา ส่วนตาแก่ผู้ขนขยะได้มาเกิดเป็นบุตรอำมาตย์รูปงามด้อยกว่า
ฉะนั้น พระอภยเถระจึงกล่าวแต่ตอนต้นว่า “ตัวท่านนี้ เป็นเพียงคนขนขยะแต่พระเถระกวาดลานพระเจดีย์ เหตุไฉนจึงบังอาจคิดว่ามีรูปเทียบเทียมกับเรา”
นี่แหละกรรมดีที่บุคคลกระทำไว้ย่อมให้ผล ไม่ว่าจะมากน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมส่งผลตามเหตุปัจจัย ผู้ที่เชื่อมั่นในกรรมและผลวิบากของกรรม เป็นมนุษย์เต็มคน คือ “มีสัมมาทิฎฐิ” เป็นผู้มีความเห็นอันถูกต้อง
อายุในมนุสสภูมินี้ไม่แน่นอน บางยุคมีอายุมาก บางยุคบางกาลเวลาก็มีอายุน้อย
บุพกรรม : ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร? ต้องถือว่าเป็นผู้มีโชคดี ล้วนแต่มีบุญกุศลติดตัวมาบ้างแล้วทั้งนั้น แต่การที่เป็นคนแตกต่างกัน บางคนมีสุข บางคนก็ทุกข์ บางคนดี บางคนชั่ว นั่นก็แล้วแต่บุพกรรม คือ กรรมแต่ชาติปางก่อนที่ตนเองได้กระทำไว้ มีหลักใหญ่ๆ ดังนี้
๑.      นรชนใดเคยละเว้นจากปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ ย่อมจะมีทรวดทรงสัณฐานงดงาม กอรปด้วยกำลังวังชาว่องไว มีอายุยืนนาน มีอาพาธความเจ็บไข้ได้ป่วยน้อย มีคนรักใคร่มาก สรรพไพรีไม่มีรบกวน แม้เวลาจะตายก็ตายไปเอง โดยไม่มีผู้ใดมาฆ่าให้ตาย ส่วนผู้ที่เคยทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ ย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือ พอสิ้นชีพตายไป นอกจากจะไปเสวยกรรมในนรกสิ้นกาลนานแล้ว เมื่อมาถึงกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ก็จะมีอายุไม่ยืนนาน พลันด่วนตายเร็ว หรือมีสุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง เจ็บป่วยเป็นอาจิณ เป็นต้น อันเป็นเศษกรรมผลของปาณาติบาต
๒.      นรชนใดเคยงดเว้นจากอทินนทาน ผู้นั้นย่อมจะมีทรัพย์สมบัติธัญญาหารบริบูรณ์ ทรัพย์ที่ยังไม่ได้ก็จะได้ ที่ได้แล้วก็ถาวรตั้งมั่นไม่เสื่อมถอย เรียกว่าทำมาหากินเจริญ ปรารถนาสิ่งใดย่อมได้สมประสงค์ทุกอย่าง ปราศจากราชภัยโจรภัยและอัคคีภัย จักมีความสุขสวัสดิ์ปราศจากอุปัทวะอันตราย ส่วนผู้ที่เคนทำอทินนาทาน เคยลักเล็กขโมยน้อย หรือเป็นโจรปล้นท่านมาก่อน ย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือ พอจิตดับตายไป นอกจากจะไปเกิดในนรกสิ้นกาลนานแล้ว เมื่อมาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ย่อมมีโภคะน้อย เกิดในตระกูลยากจน มีชีวิตความเป็นอยู่แสนลำเค็ญ ไร้ทรัพย์สมบัติ ทำมาหากินเท่าใดก็ไม่ขึ้น? ดังนี้เป็นต้น อันเป็นเศษผลของอทินนาทาน
๓.     นรชนใดเคยเว้นจากกามมิจฉาจาร เขาผู้นั้นย่อมไม่มีอริศัตรูปองร้าย เป็นที่รักแก่คนทั้งหลายทั่วโลก จะยืนเดินนั่งนอน ก็เป็นสุขสบายทุกอิริยาบถ จะมีสกลกายบริบูรณ์ด้วยศุภลักษณ์ จักไม่เป็นคนกะเทยวิตถารให้คนหยามเล่น ส่วนผู้ที่เคยกามมิจฉาจารประพฤติลามกผิดในกาม มักนอกใจคู่ครองของตน ย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือ พอจิตดับตายไป ก็ต้องไปเกิดในนรกสิ้นกาลนาน เมื่อถือกำเนิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ย่อมมีศัตรูประทุษร้ายเสมอ ทั้งๆที่ตนก็ไม่เคยทำชั่วอะไรให้เขาโกรธ ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นเศษผลของกามมิจฉาจาร
๔.     นรชนใดเคยงดเว้นจากมุสาวาท พูดโกหกมดเท็จส่อเสียดยุยงแลด่าว่าท่าน เขาผู้นั้นย่อมจะมีสกลกายไพบูลย์ด้วยจักษุโสต มีอวัยวะไม่บกพร่อง พูดจาไพเราะจับใจ มีกายวาจาใจเรียบร้อย น่าดูน่าชม มหาชนสรรเสริญนับถือ เป็นผู้ฉลาดในธรรม มีความดำริคิดอ่านดีถูกต้อง ไม่ถูกลงโทษใส่ความ ส่วนผู้ที่เคยทำมุสาวาท ย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือ พอดับจิตตายแล้วต้องไปลงนรก เสร็จแล้วเมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้อยู่ดีๆ ก็มีผู้กล่าวตู่ใส่โทษขัดขวางเอาเปล่าๆ ต้องเสียทรัพย์บ้าง ต้องติดคุกจำขังโดยที่ตนเองไม่มีความผิดบ้าง ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นเศษผลของมุสาวาทที่เคยประพฤติไว้
๕.     นรชนใดเคยงดเว้นจากสุราปานะ เขาผู้นั้นย่อมมีปัญญาดี เรียนรู้ศิลปะวิทยาการทั้งปวงได้เร็ว ทั้งทำให้ใจของเขาไม่อยากดื่มเหล้า กินยาเมา กาลทั้งสาม คือ ในอดีต อนาคต แลปัจจุบัน เขาผู้นั้นจะมีสติดีไม่ฟั่นเฟือน คือ ไม่เป็นบ้า ไม่พูดจาเลอะเทอะเหลวไหล เพราะจิตบริสุทธิ์ มีธรรมะประจำใจอยู่ทุกทิวาราตรี เป็นสัจจวาทีชนกอรปไปด้วยบุญและความสุขอันไพศาล ส่วนผู้ที่ดื่มสุรายาเสพติด ย่อมได้รับผลตรงกันข้าม คือ พอดับจิตตายไป นอกจากจะตกนรกสิ้นกาลช้านานแล้ว พอพ้นจากกรรมในเมืองนรก เศษกรรมยังมี เมื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ ก็เป็นคนมีสติไม่สมบูรณ์ บ้าใบ้คลั่งไคล้ไหลหลง บ้าๆ บอๆ เสียคนเสียจริตไปอย่างน่าสลดสังเวช เป็นต้น
นี่แลเป็นเศษผลของการเสพสิ่งมึนเมาทั้งหลายทั้งปวง หรือดื่มสุราบาน ดูแล้วน่าสังเวชและน่าสงสารเป็นกำลัง พิการตั้งแต่อยู่ในท้องของมารดา คลอดออกมาก็ยิ่งเพิ่มความทุกข์ทรมาน ทั้งแก่ตัวเองและผู้คอยดูแลช่วยเหลือทุกอย่าง ทั้งผู้ที่ได้พบเห็น ก็ให้รู้สึกขยาดกลัวและคิดว่า ชาตินี้ตนเองจะไม่ยอมผิดศีล ๕ เป็นเด็ดขาด (ธรรมะดีออนไลน์, 2554)
แหล่งอ้างอิง:
ทางบุญออนไลน์. (2556). มนุษย์ 5 จำพวก. ค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556, จาก http://www.tangboon.com/
           
index.php?lay=show&ac=article&Id=256391
ธรรมะดีดออนไลน์. (2554). มนุสสภูมิ ประเภทมนุษย์. ค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556, จาก            http://thammadeedee.blogspot.com/2011/12/blog-post_3620.html
วิกิพีเดียสารานุกรม. (2556). มนุษย์. ค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556, จาก http://th.wikipedia.org/wiki/   มนุษย์
วิกิพีเดียสารานุกรม. (2556). ประชากรโลก. ค้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556, จาก            http://th.wikipedia.org/wiki/ประชากรโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น